วันพฤหัสบดี, ตุลาคม ๑๘, ๒๕๕๐

เรื่องไม่เป็นข่าว

หมายเหตุ : ขอพักยกจากสารคดีมาอ่านเรื่องสั้นกันเถอะ
...................................................................

ราวกับว่าหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งได้เรียกให้ผมออกไปจากถ้ำอันเงียบสงบ
ผมจึงปิดพัดลมที่ส่ายใบหน้าให้ความเย็น แต่ด้านหลังมอเตอร์ของมันร้อนแทบจะไหม้ มันไม่รู้หรอก ผมจะออกไปไหน ทว่าก็ถึงเวลาเสียทีที่ต้องออกไป ประตูปิดลงอย่างกังวล กล้าๆ กลัวๆ ที่จะปล่อยให้ใครสักคนไปเผชิญหน้ากับโลกร้อนภายนอก ข้างในอกผมเย็นเยียบขณะลากเท้าสะพายย่ามไปสู่ประตูลิฟต์ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ทำไมหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นเรียกร้องหาผม? บางทีผมคงคิดเอาเอง มันจะนำพาผมไปสู่อะไรสักอย่าง หรืออาจจะเติมเต็มกระเพาะอันร้อนรนให้เย็นสงบลง
ซอยแห่งภูโพรงสี่เหลี่ยมสูงทอดไปยังจรดถนนใหญ่ ทักทายกันที่นั่นเหมือนผู้คนทั่วไปซึ่งใช้สายตามองเห็นกันแต่ไม่รู้จักกันเลย ร้านขายก๋วยเตี๋ยวสามร้านกับผู้ขายยืนโด่เด่เดียวดายตรงริมถนน สามแยกของโลกซอยนี้ร้อนมาทั้งวัน ร้านขายหมูปิ้งซึ่งไฟถ่านคุย่างหมูจนเยิ้มหยดส่งคาร์บอนไดอ็อกไซด์ขึ้นไปรวมกับหมู่เมฆและตรึงท้องฟ้า ร้านส้มตำแกล้มปีกไก่ทอดเร่งไฟแก๊สจนน้ำมันเดือดปุดแตกไอ เหมือนกับเหงื่อของแม่ค้าชราทั้งสอง
น่าจะมีร้านโลตัสกับร้านเซเว่นเพียงสองแห่งเท่านั้นที่อากาศเย็นตลอดวันคืน หรืออาจจะเป็นไปได้ว่ามีความเยือกแข็งบรรจุมาแล้วตั้งแต่แรกครั้งสร้างโลก ทั้งสองร้านตั้งเผชิญหน้ากันจนราวกับอาการของคนควันออกหู ผมคะเนไม่ได้ว่าหนังสือพิมพ์ร้านไหนจะมีเสน่หากว่ากัน แม้มันจะเป็นฉบับเดียวกัน ข่าวเดียวกันก็เถอะ นอกเสียว่าใครจะยิ้มให้ก่อน อย่างน้อยจะได้ทำให้อากาศภายนอกเย็นลงอีกนิด
ฉับพลันฝนก็ตก ไม่มีลมพายุนำพามาก่อน ราวกับความร้อนของแผ่นโลกซึ่งกำลังลุกไหม้ท้าทาย มันจึงตกลงมาให้สาสม เพื่อต้องการดับไฟนรก นี่เป็นเรื่องธรรมดาที่อีกด้านของสิ่งหนึ่งก็อยู่อีกด้านของสิ่งหนึ่ง แต่ทั้งสองเป็นสิ่งเดียวกัน เหมือนกับผมที่ร้อนอกขึ้นมา เมื่อพบว่า ทั้งร้านโลตัสและร้านเซเว่นไม่มีหนังสือพิมพ์ที่จะล้วงเอาเงินในกระเป๋าอันน้อยนิดของผมได้
ผมถูกความเย็นแบบขั้วโลกเหนือ-ใต้ของร้านสะดวกซื้อทั้งสอง ผลักให้มายืนมองสายฝนเย็นฉ่ำคลุกเคล้าไอร้อนบนถนน ยวดยานเพ่งไฟตาแดงเหลืองแล่นย่ำน้ำกระจายสาดใส่รถเข็นแม่ค้าชรา ทั้งสองยืนนิ่งราวกับประหลาดใจที่ฝนตกลงมา หรืออาจเป็นไปได้ว่า หลังจากลุกลนเอาแผ่นพลาสติกปิดอาหารแล้วก็รอคอยลูกค้าอย่างใจเย็น
แม่ค้าชราร่างเล็กบางวิ่งเข้ามาใต้ชายคาอาคารที่ผมยืนอยู่
“แดดร้อนมาก แล้วฝนก็ตกลงมาอีก...”
แกคงจะพูดกับผม หรือไม่ก็ระบายไฟคับอกออกมาบ้าง
“ร้อนแล้งจัด แล้วตกหนักจนท่วม...” แกว่าต่อ
เมื่อมองดูทั่วทั้งบรรยากาศของปากซอยและริมถนนใหญ่ใกล้ๆแล้ว มีร้านค้าขายอาหารอยู่แปดร้าน แต่มีคนที่อาจจะเป็นลูกค้าได้เพียงผมคนเดียว ไม่แน่แกอาจจะพูดกับผม
ผมไม่กล้าเอ่ยอะไรออกไปกลัวความวังเวงในสายฝนบริเวณนั้นจะทำให้ความสับสนวุ่นวายเข้าสิงสู่ แกกล่าวต่อว่า “...อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ฝนตกแล้วน้ำท่วม น้ำท่วมแล้วฝนแล้งยาวนาน ในปีเดียวเท่านั้นเอง...”
สุดวรรคนี้แบบไม่เว้น แกก็จู่โจมผม
“อยู่บ้านไหน?”
แกคงหมายถึงว่ามาจากจังหวัดไหน อาจเป็นเพราะลักษณะมนุษย์ถ้ำแบบผมที่ออกมาจากโพรงเมื่อไรก็ต้องมีย่ามเวทมนต์เป็นเพื่อน ราวกับแกได้กลิ่นชนบทในย่ามผม
“พักอยู่ข้างในนั้น...” ผมบอก แล้วชี้ไปยังโพรงชั้น 5
“แม่ใหญ่อยู่ไส?” ผมรุกคืนบ้าง
แกพูดภาษากลางอย่างชัดเจนจนได้กลิ่นปลาแดกออกมาจากไรฟัน
“ซอยเกล้า...”
แกเงียบไปนาน ราวกับนิ่งมองสายฝน ขณะรถเครื่องสกูตเตอร์เข้ามาเทียบหน้ารถเข็นของแก แม่ค้าชราอีกคนหายไปในม่านฝนตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เหลือเพียงรถสองคันจอดเทียบกันคอยต้อนรับลูกค้าแทน
“จะเปลี่ยนแปลงจากหน้าไหนไปหน้าไหน จะหน้ามือเป็นหลังตีน จะประชาธิปไตยหรือรัฐประหาร เฮาก็เป็นหนี้เหมือนเดิม จนหมดไม่เหลืออะไร...” เหมือนว่าเสียงแหบสั่นพร่านั้นออกมาเอง โดยที่แกไม่ได้เปิดปากขยับฟัน ยิ่งใบหน้ายังเฉย นิ่งมองรถเข็นถูกพายุกระหน่ำราวกับโลกต้องการให้น้ำท่วมในวันนี้
ทีแรกผมนึกว่าผู้ชายร่างเล็กลงจากสกูตเตอร์มาซื้อของ ทว่าผมนึกผิดกลับด้าน หลังจากถอดเสื้อกันฝนออก เขากลายร่างเป็นผู้หญิงที่มีใบหน้าแห้งแล้ง แม่ค้าที่คุยอยู่กับผมก้าวออกไปอย่างช้าๆ ราวกับไม่รู้สึกดีใจที่รถเข็นขายของสามารถเรียกลูกค้าเองได้ โดยที่แกไม่ต้องเสียน้ำลายสักหยด
ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า บางทีหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นคงเพรียกหาให้ผมออกจากถ้ำ เพื่อมาพบสิ่งมหัศจรรย์ วัตถุขายตัวเองได้โดยไม่มีผู้ขาย บางทีข่าวในหนังสือพิมพ์ก็ขายตัวเองได้โดยไม่มีคำอธิบายหรือไม่มีตัวอักษร เรื่องนี้ก็เช่นกันมันขายของมันเอง เปล่งบารมีของมันเอง โดยไม่เกี่ยวกับดินฟ้าอากาศหรือสภาพการเมือง...
แม้ค้าชราคนที่คุยกับผมเก็บร่มแล้วเข็นรถฝ่ากำแพงฝนออกไปบนถนน ขณะหญิงใบหน้าแห้งแล้งภายใต้แว่นตาใสขอบทอง เดินเข้ามาชายคาอาคารที่ผมยืนอยู่ แกตรงเข้าไปภายในร้านของชำที่ดูรกร้างใกล้ร้านโลตัส แล้วดึงเก้าอี้ตัวหนึ่งออกมานั่ง พร้อมงัดเอากระเป๋าดีดปังขึ้นมาวางบนโต๊ะ ล้วงเงินขึ้นนับ ต่อมาจึงดึงสมุดรายการขึ้นมาจด แล้วเพ่งสายตาราวกับดวงไฟส่องทางไปยังท้องถนน พร้อมคำรำพึง “ขาดอีกสี่คน มันไปไหนกันหมด เดี๋ยวจ่ายดอกบานแน่”
ผมไม่ทันสังเกตว่าหลังม่านฝนเหล่านั้น พ่อค้าก๋วยเตี๋ยวและคนอื่นๆ ก็หายไปแล้ว ผมรู้สึกราวกับโลกภายในของผมจับแข็งลงอย่างฉับพลัน มีบางอย่างที่มากกว่ากวักมือให้ผมเดินตากฝนลุยน้ำเปียกโชกไปสั่งก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ กินคลายหนาวเหน็บ ยังร้านฝั่งตรงข้าม และมีเสียงหนึ่งไล่กรรโชกมากับสายลมฝน
“ขายของไปก็ได้แต่ดอกเบี้ย... ดอกฟ้า! ดอกฝนก็จะถล่มลงมาซ้ำเติมกันหรือไงวะ?!”
ผมเหลียวกลับไปมอง ไม่เห็นใครเลยนอกจากรถเข็นเปล่ากับหมูปิ้ง ราวกับเสียงนั้นโผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน หรืออาจจะมาจากท่อน้ำเน่าแห่งสำนักข่าวใต้ดิน ผมไม่สามารถเลี้ยวซ้ายหรือขวา ได้แต่ยืนนิ่งแข็งตากฝนอยู่กลางถนน แสงไฟรถส่องทางตรงมาพร้อมแตรแผดก้อง

ขณะเสียวสันหลังวูบราวกับฟ้าจะถล่มลงมาในทันที

'รัตน์ คำพร : เขียน

1 ความคิดเห็น:

nagabook กล่าวว่า...

"เรื่องไม่เป็นข่าว" ได้รับเกียรติลงตีพิมพ์ใน
กรุงเทพธุรกิจ จุดประกาย วรรณกรรม
ปีที่ 20 ฉบับที่ 6975
วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2550
http://www.bangkokbiznews.com/jud/wan/

ลองเข้าไปดู