วันพฤหัสบดี, มิถุนายน ๒๑, ๒๕๕๐

จดหมายจากนายกรัฐมนตรี

ปรากฏการณ์สีเหลืองอุดมธรรมทำให้ผมดูข่าวสารจากทีวีหรือจากหน้าหนังสือพิมพ์ได้สบายใจอยู่หลายวัน หากไม่นับรวมอากาศเย็นรื่นระบายจากละอองฝนมาทางระเบียงห้องพักเป็นช่วงๆ การได้เดินไปไหนมาไหนโดยที่ผู้คนเลิกแบ่งฟากฝ่ายชั่วคราวทำให้ผมผ่อนคลายลงด้วย ผมไม่ค่อยอยากเข้ามาเมืองกรุงสักเท่าไรเลย หากไม่มีคนรักพักอาศัยและทำงานอยู่ในเมืองนี้ ไม่ใช่ว่าจะเกลียดชังอะไรต่อความเป็นเมืองอันใหญ่โต ทว่าในระยะหลัง ผมรู้สึกค่อยๆ ออกห่างจากเมืองไปไกล และรู้สึกไม่ค่อยจะชินกับภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกโลดแล่นอยู่เต็มใบหน้าผู้คน ในหน้าหนังสือพิมพ์ ทีวี แน่นอน เกือบจะทุกสื่อก็ว่าได้
เช้าวันก่อนผมได้รับจดหมายฉบับหนึ่งมีตราครุฑประทับที่มุมซอง คนรักของผมหยิบมันขึ้นมาจากกล่องรับจดหมายใต้คอนโดมีเนียม เห็นว่ามีตราครุฑ แม้ไม่มีรอยประทับสีแดงว่า ลับเฉพาะหรือด่วนมากอะไรทำนองนั้น ทำให้เธอต้องย้อนกลับขึ้นมาที่ห้องแล้วปลุกผมซึ่งตื่นสายเสมอให้รู้ว่า น่าจะมีอะไรสลักสำคัญอยู่ภายใน
“ไปทำอะไรมารึ?” เธออดสงสัยไม่ได้ เมื่อผมแกะจดหมายออกมาแล้วคงเห็นผมตื่นตกใจเหมือนโดนผีหลอก หรือไม่บางทีอาจจะโดนหมายคดีสำคัญให้ไปพบศาล หรือผมอาจจะออกอาการในดวงหน้าว่า มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?
ผมเอามือขวาลูบหน้า ขณะมือซ้ายถือกระดาษจดหมายอย่างสั่นกลัว
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ยังไม่รู้…” ผมเห็นหัวจดหมายเป็นแบบทางการมาก และใช้ที่อยู่ของทำเนียบรัฐบาลแล้วยิ่งทำให้แทบหยุดหายใจ อ่านมาจนถึงคำขึ้นต้นว่า เรียนคุณ ’รัตน์ คำพร ซึ่งเป็นตัวพิมพ์ หลังจากนั้นจึงเขียนด้วยลายมือที่ดูมั่นใจและฉับไวแต่แฝงท่าทีซับซ้อนไว้ด้วย ลายเส้นระบุว่า นี่เป็นจดหมายส่วนตัวที่เขียนโดยผม -นายกรัฐมนตรีของประเทศ เพื่อจะบอกกล่าวกับประชาชนในเรื่องปัญหาความวุ่นวายต่อระบบประชาธิปไตยของเรา ผมเป็นคนที่ริเริ่มอะไรใหม่ๆ ให้กับระบบประชาธิปไตยของประเทศ ผมตั้งใจจะนำประเทศก้าวพ้นความยากจน เพื่อคนจนจะหมดไปจากประเทศนี้ ทว่าในช่วงที่ผ่านมามีกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดีต่อผมและระบบประชาธิปไตยจ้องจะโค่นล้มผม ซึ่งนำความวุ่นวายมาให้ประเทศดังที่ทราบกันดีอยู่แล้ว…
เมื่อผมอ่านมาถึงวรรคนี้ทำให้อดอมยิ้มและแทบจะกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ มันเป็นไปได้อย่างไร ฯพณฯ ท่านนายกรัฐมนตรีเขียนหนังสือเป็นการส่วนตัวเจาะจงมาถึงผมซึ่งเป็นหนึ่งในหกสิบกว่าล้านคนของประเทศ ผมเป็นเพียงไอ้ประชาชนผู้ต่ำต้อยคนหนึ่งเอง
“ไม่รู้ใครแกล้งล้อเล่นเราแล้วที่รัก…” ผมบอก แล้วเธอก็แย่งจดหมายไปอ่านเอง กระทั่งเธออ่านจบก็เกิดสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“มีลายเซ็นท่านด้วยน่ะ…”
“จริงหรือ…”
“นี่ไง ใครจะกล้าแกล้งปลอมอย่างนี้”
“เฮ้ย อาจจะเป็นเพื่อนเราคนหนึ่งคนใดแกล้งบ้าก็ได้…” ผมว่าอย่างอดคิดถึงเพื่อนคนนั้นคนนี้ไม่ได้
เมื่อเราคิดดูดีๆ แล้ว ก็อาจเป็นไปได้ว่า น่าจะมีใครอุตริแกล้งเรา แต่เมื่อดูตราประทับไปรษณีย์และลักษณะจดหมายก็แทบจะบอกได้ว่าเหมือนจริงมากเลย และสิ่งสำคัญยิ่งกว่า คือใครจะกล้าปลอมลายเซ็นนายกรัฐมนตรีเล่นๆ
เมื่อคนรักออกไปทำงานด้วยใบหน้ายิ้มหัวเราะให้ผมแล้วนั่นแหละ ผมจึงเริ่มสืบเสาะถามเพื่อนบ้านห้องใกล้ๆ ว่าใครได้จดหมายในลักษณะนี้บ้าง แต่ก็ไม่มีใครได้รับเลย ลุงยามประจำตึกบอกอีกว่า คนส่งจดหมายย้ำแกว่าช่วยดูแลจดหมายนี้ให้ถึงมือคนรับอย่างปลอดภัยด้วย แกจึงบอกคนรักของผมให้รีบไปแกะกล่องออกมาก่อนไปทำงาน
เรื่องนี้ทำให้ผมนอนไม่หลับอยู่สามวัน แม้จะรู้สึกดีใจลึกๆ ว่า หากมันเป็นจดหมายจากนายกรัฐมนตรีจริง ผมก็คงเป็นคนโชคดีคนหนึ่งราวกับถูกลอตเตอรี่รางวัลแรกๆ ก็ว่าได้ เพราะนอกจากคนในครอบครัวและคนใกล้ชิดในการทำงานบริหารบ้านเมืองแล้ว ฯพณฯ ท่านคงไม่ได้บอกปัญหาแท้จริงในเรื่องที่เกิดขึ้นกับใครได้อีก บางทีก็น่าสงสารท่านเช่นกัน เพราะไม่สามารถใช้ชีวิตแม้การกินก๋วยเตี๋ยวอย่างคนปกติทั่วไปได้อีก… ระหว่างที่ผมทั้งดีใจกับความคิดนี้และโทรศัพท์ถามเพื่อนๆ ว่า ใครได้รับจดหมายแบบเดียวกับผมบ้าง หรือเพื่อนคนใดแกล้งให้ผมเป็นปลื้มจนหลายคนบอกว่า ผมใกล้จะเป็นผีบ้าเข้าไปทุกที เช้าของวันที่สี่จึงมีจดหมายกึ่งส่วนตัวกึ่งทางการจากนายกรัฐมนตรีมาหาผมอีกครั้ง
ครั้งนี้ท่านได้อธิบายที่มาที่ไปของการเขียนจดหมายซึ่งมันเป็นการสื่อสารยุคโบราณที่ไม่คู่ควรกับเจ้าของสัมปทานดาวเทียมเช่นท่านเลย ท่านบอกว่า ได้สุ่มตัวอย่างชื่อที่อยู่จากคอมพิวเตอร์แล้วหวยก็โผล่พ้นมาออกที่ผม ในยุคคิดใหม่ทำใหม่และทำเร็วเช่นรัฐบาลนี้ ท่านบอกว่าทุกอย่างจึงเป็นไปได้ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนทุกคน ผมจึงเป็นผู้โชคดี ในท่อนท้ายของจดหมายท่านยังนัดหมายให้ผมได้รับเกียรติไปกินก๋วยเตี๋ยวข้างถนนย่านสีลม โดยท่านจะปลอมตัวมาในชุดขอทานแบบในรายการเรียลลีตี้โชว์ ท่านยังย้ำอีกว่า เรื่องนี้เป็นความลับมาก ท่านอยากลงมารับรู้ความจริงแบบคนธรรมดาบ้าง อยากมีอะไรที่เป็นส่วนตัวบ้าง จึงต้องการให้ทั้งการแต่งกายและเวลาที่นัดหมายเป็นความลับเฉพาะอย่างยิ่ง…
‘เอาละคราวนี่…’ ผมจะบอกคนรักก็ไม่ได้ วันเวลาและสถานที่ได้ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว ผมมีเวลาอีกคืนที่จะได้คิดทบทวนว่าจะเอาอย่างไรกันดี? ว่าก็ว่าเถอะ ถ้าผมจะไม่บอกใครเลยแล้วลองไปหาท่านดู หากเป็นเรื่องจริงผมก็ถือว่าเป็นบุญแห่งชีวิตที่ได้กินอาหารร่วมโต๊ะกับมหาเศรษฐีและนายกรัฐมนตรีแบบคนธรรมดาที่ถอดหัวโขนมาคุยกันในวงอาหาร
เมื่อถึงเช้าของอีกวันซึ่งเป็นวันหยุดงานของคนรัก ผมจึงแอบหนีเธอมาหา ฯพณฯ ท่าน โดยบอกเธอว่า ผมมีนัดกับเพื่อนที่เป็นนักกฎหมาย ให้เธอใช้เวลาวันหยุดกับหนังดีๆ ในบ้านไปก่อน ตอนเย็นผมจะกลับมา ทว่าเมื่อมาถึงที่หน้าห้างแถวสีลมแล้ว ผมกลับจำไม่ได้ว่า ใบหน้าตาที่แท้จริงของท่านนายกรัฐมนตรีของผมเป็นอย่างไรกันแน่ สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม วงกลม หรือมีลักษณะคล้ายกบ ตามที่ทีวีและภาพข่าวหนังสือพิมพ์เขาว่า ผมจึงต้องลอบมาก่อนเวลาและทำทีเป็นเดินไปเดินมาอยู่หน้าห้าง
ก่อนเวลานัดประมาณสิบนาที ผมเกือบจะตัดสินใจเดินมาขึ้นรถกลับบ้านเสียแล้ว เพราะรู้สึกขึ้นมาว่า นายกรัฐมนตรีที่ไหนจะกล้าบ้าปลอมตัวเป็นขอทานโดยไม่มีกล้องรายการทีวีอยู่ด้วย มันไม่เกิดประโยชน์อะไรต่อประเทศชาติเลยกับการที่ท่านนายกฯ มานัดผมกินก๋วยเตี๋ยว ยิ่งกินหูฉลามก็ไม่ต้องคิดถึง ในขณะที่ผมต่อสู้ทางความคิดอยู่ภายในตัวนั้น ผมก็เห็นขอทานรูปหน้าสี่เหลี่ยมหมองคล้ำ ร่างผอมและดำมอซอเดินมาทางหน้าห้าง ผมจึงเข้าไปดูใกล้ๆ แล้วแกก็ยื่นขันใส่เงินมาหา ผมจึงจำเป็นต้องล้วงเหรียญสิบใส่ลงในขัน เพื่อจะได้เห็นแกใกล้ๆ ดูไปดูมา แกก็ร้องขอเงินเพิ่มขึ้น ยิ่งทำให้ผมเข้าใจว่า คงจะไม่ใช่ ฯพณฯ ท่านของผมแน่นอน เพราะหากท่านปลอมเป็นขอทานได้แล้ว ท่านคงไม่ละโมบโลภมากอยากได้เงินมากกว่าสิทธิที่ควรจะได้หรอก…
ในขณะที่ผมถอยหนีขอทานอยู่นั้นก็มีใครคนหนึ่งยื่นขันอีกใบมากระแทกหลังผม ผมหันกลับไปมองชายร่างท้วม ผิวขาวแต่คล้ำราวกับมีสีมาป้ายปาดไว้ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งอย่างกับถูกตัดขลิบมาเป็นการเฉพาะ แกสวมหมวกปีกกว้างคลุมใบหน้ารูปเหลี่ยมไว้ แล้วผมก็จำได้ว่าคือคนคนเดียวกันกับที่ผมรอคอย
“ใช่ ท่าน…” ผมพูดยังไม่จบประโยค ท่านก็บอกว่าไม่ต้องพูดอะไรมาก มาตามนัดก็ดีแล้ว และเราจำเป็นต้องเปลี่ยนสถานที่ เพราะข่าวมันรั่ว ผมจึงกึ่งถูกลากจากขอทานผู้ร่ำรวยที่สุดในประเทศมาตามถนน
เราเดินตัดเข้ามาในซอยเล็กๆ ที่มีร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่กลางซอย และเพื่อไม่ให้เป็นเป้าสายตาของใครต่อใคร ผมจึงสั่งก๋วยเตี๋ยวในทันทีสองถ้วย พร้อมน้ำแข็งเปล่าใส่น้ำเย็นๆ แล้วเลือกนั่งที่โต๊ะว่างด้านในสุด
ท่านนั่งลงตรงข้ามผม หากสังเกตอย่างไม่ละเอียดท่านก็ดูเหมือนขอทานอย่างมากเลย เรานั่งมองหน้ากันอยู่พักหนึ่ง ดูท่านอิดโรยและอ่อนล้ามากๆ ผมไม่แน่ใจว่า มันเป็นฝีมือการเมคอัพหรือเพราะท่านเป็นอย่างนั้นจริงๆ
“กินก่อนครับท่าน…” ผมบอกเสียงแผ่วจางอย่างกล้าๆ กลัวๆ เมื่อเห็นว่าท่านจะพูดระบายความในใจสักอย่างออกมา
“อือ.. เรียกผมว่าอ้ายก็ได้เน้อ…” ท่านพูดปนสำเนียงคำเมือง “…เฮากิ๋นไปอู้ไปก็ได้”
“คือ… ผมอยากลองทดสอบการมีส่วนร่วมแบบนี้ดู คือ…” ท่านเหลือบมองซ้ายขวาอย่างกับลีลาของตำรวจสันติบาลเก่าว่ามีใครแอบฟังอยู่บ้างไหม เมื่อแน่ใจจึงเล่าต่อว่า “สมมติตัวผมเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ผ่านมามีสิ่งหนึ่งที่ผมเห็นว่ายังไม่เข้าใจ คือเรื่องทรัพย์ส่วนตัวซึ่งขายไปนั้น มันเป็นสิทธิของผมที่ทำได้ใช่ไหม? แล้วทำไมมีคนมาจ้องจะโค่นล้มผมและหาว่าผมคอรัปชั่นอย่างโน้นอย่างนี้ ดูซิผมทำอะไรทั้งมากมาย ใช้หนี้ให้ไอเอ็มเอฟจนหมด ผมช่วยคนจนสักเท่าไร ขนาดให้ปลอมตัวมาเป็นขอทานเพื่อสุ่มฟังความคิดเห็นประชาชนผมยังทำเลย แล้วจะเอาอะไรอีก ผมยุบสภาให้เลือกตั้งใหม่ก็ว่าผมโกง ผมเอาเปรียบอีก ก็มีทางเดียวที่จะพิทักษ์ประชาธิปไตยก็คือการเลือกตั้งไม่ใช่หรือ…”
ท่านนายกรัฐมนตรีของผมระบายความในใจอีกมากจนท่านน้ำตาอาบแก้ม ผมสงสารท่านกระทั่งแทบจะเข้าไปกอดเพื่อปลอบใจ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าท่านเป็นนายกฯ ไม่ใช่ขอทานอย่างที่เห็น ผมจึงทำได้เพียงรับฟังเออออให้ท่านสบายใจ นอกจากนี้ท่านยังบอกอีกว่า ไอ้ปัญหาทั้งหมดของประเทศนั้นมันเป็นปัญหาโลกาภิวัตน์ของโลก เราต้องปรับตัวนำประเทศสู่การบริหารแบบใหม่ให้ทันสถานการณ์โลก เราต้องเป็นตัวของตัวเอง เรามีอธิปไตยของรัฐ…
ผมฟังแล้วเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็รู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับเกียรติอันสูงส่งนี้เพียงผู้เดียว…
ท่านกินก๋วยเตี๋ยวอย่างกับมันเป็นอาหารที่แสนวิเศษเสร็จแล้ว ผมจึงถามท่านว่า “แล้วท่าน… อ้ายจะเอาอย่างไงต่อไป?”
ฯพณฯ ท่านมองหน้าผมราวกับโล่งอกที่ดูเหมือนว่า ผมจะเข้าใจในสิ่งที่ท่านได้กระทำต่อประเทศชาติ
“ผมคงต้องเขียนจดหมายถามพ่อบุชอีกทีหนึ่ง…”
ท่านตอบเสียงดังกว่าปกติจนเจ้าของร้านหันมามองเรา ผมจึงต้องแก้เกมด้วยการเรียกเจ้าของร้านมาเก็บเงิน เมื่อจำนวนเงินถูกขานออกมาว่ากี่บาท เราก็นั่งมองหน้ากันอยู่เนิ่นนาน ราวกับชั่งใจว่าใครจะเป็นคนจ่ายค่าก๋วยเตี๋ยวบวกน้ำแข็งเปล่าในราคาแสนน้อยนิดนี้ หากให้ ฯพณฯ ท่านจ่ายในคราบขอทานก็จะทำให้ไม่สมจริงและคนจะสงสัยได้ ท่านยิ้มแล้วบอกผมว่า ให้จ่ายไปก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นท่านก็หยิบขันขอทานลุกขึ้นเดินจากไป
ผมรีบจ่ายเงินโดยคิดง่ายๆ ว่า ผมเลี้ยงอาหารท่านก็ไม่เป็นไร มันก็เหมือนจ่ายภาษีให้รัฐนั่นแหละ แล้วหวังว่าจะเดินตามไปให้ท่านเซ็นชื่อลงบนเสื้อไว้เป็นที่ระลึกเพื่ออวดเพื่อนกับคนรัก หรือไม่ก็กะว่าจะขอขันขอทานใบนั้นไว้ด้วย แต่ก็ไม่เห็นนายกรัฐมนตรีของผมอีกแล้ว ท่านหายไปในย่านคนรวยอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ผมกะจะไหว้ลาท่านแล้วอวยพรให้ท่านเจริญๆ ประเทศชาติจะได้เจริญก้าวหน้าตาม โดยผมเองก็จะได้รุ่งเรืองร่ำรวยตามท่านไป อย่างน้อยผมก็ได้เลี้ยงอาหารท่านแล้ว ผมคงไม่ต้องจ่ายภาษีอีก…


เรื่องสั้น : 'รัตน์ คำพร

1 ความคิดเห็น:

anan กล่าวว่า...

ตัวหนังสือมันเล็กมากเลย อ่านแล้วปวดตาน่ะ