วันพฤหัสบดี, ตุลาคม ๑๘, ๒๕๕๐

อันเนื่องจากการเผชิญกับกระจกมนุษย์?

เมื่อผมเผชิญหน้ากับกระจกบานนั้น ผมจึงสำรวจใบหน้าของตนเองและมองเข้าไปในดวงตาของผู้ที่ยืนอยู่ในกระจก ยิ่งมองลึกลงไปยิ่งเห็นว่า เขาก็เป็นคน เป็นมนุษย์เช่นเดียวกับผม นี่ผมมองแวบเดียวแล้วรู้ได้อย่างไรว่า เขาเป็นคนเช่นเดียวกับผม หะแรกเพราะผมรู้ว่า มันคือวัตถุที่ชื่อกระจกเงา และมันสะท้อนตัวผมให้เป็นเขาอยู่ในแผ่นใสสะท้อนนั้น ผมยิ้มอย่างที่ผมยิ้มอยู่เป็นประจำ (ผมคาดว่าผมจะยิ้มแบบนี้เป็นส่วนใหญ่แม้ยามที่ไม่มีกระจกคอยส่อง) เขาก็ยิ้มอย่างที่ผมยิ้มอยู่นั่นแหล่ะ เหตุที่ผมมองเห็นภาพสะท้อนได้ชัดเจน ด้วยแสงในห้องน้ำของผมก็สว่างจ้า ผมจึงเข้าใจเอาว่า กระจกบานนั้นบอกความจริงกับผม แม้ผมจะแปรงฟัน เขาก็แปรงฟัน แต่เมื่อผมละจากกระจกมา ผมไม่รู้อีกว่าเขาละจากกระจกมาหรือไม่ หรือเขายังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น (อันที่จริงคุณก็รู้ได้เองแล้วว่าผมก็คือเขาและเขาก็คือผม) การเผชิญหน้ากับวัตถุที่เราจับต้องได้และหมายรู้อีกว่าเราคุ้นเคยกับมัน เราจะรู้สึกไม่แปลกแยกจากมัน คล้ายจะเป็นหนึ่งเดียวกับมัน ทว่าหากสืบสาวเข้าไปในจิตใจแล้ว เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า มันสะท้อนตัวมันหรือตัวเราออกมา หรือว่า เราเองที่ไปมองจับจ้องต้องเห็นมันและวาดสะท้อนตัวตนในจิตใจขึ้นมาเอง

ในยามทารกแสนเลือนราง (หากยังจดจำได้) ผมไม่รู้ว่า ผมจำใบหน้าแรกเริ่มของผมเองในกระจกได้หรือไม่ และผมเองเริ่มสำนึกว่าเป็นผมด้วยกระจกเงาใสบานหนึ่ง หรือว่าผมสำนึกว่าเป็นผมเพราะแสงสะท้อนจากปากคำเรียกขานของพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ใบหญ้า ดอกไม้ สายฝน แดดออก เสียงนก แต่ผมเข้าใจว่า ผมต้องตอบสนองต่อสิ่งเร้าเหล่านี้แน่นอน และผมต้องตอบสนองความหิว การปวดคันจากฉี่หรือคราบฉี่ตามซอกหลืบ ผมน่าจะสะท้อนออกมาด้วยการร้องไห้ อาจถือได้ว่าการร้องไห้คือเงาสะท้อนแรกของการเป็นคนของผม

กล่าวโดยสั้นๆ ผมรู้สึกเป็นพื้นฐานจากอะไรว่า คนเรามีร้องไห้ มีหิว มีปวด มีอยาก แน่นอน มันค่อยๆ รู้สึกรู้สามาตามวัย แต่วัยมันอิงแอบกับผู้คนและรูปแบบโครงสร้างของกระจกที่ต่างสร้างขึ้นมาเชื่อมโยงแก่กันและกัน อย่างไรก็ตาม ในคืนวันหนึ่งกระจกในห้องน้ำผมเกิดร้าวขึ้นมาเป็นเส้นข่ายร้าวแต่ไม่แตกกระจาย ประกอบกับหลอดไฟเกิดเสียขึ้นมา มันติดดับสว่างวาบแล้วมืดแล้วสว่าง ผมเข้าไปในห้องน้ำหลังจากการหลับสบาย ผมจะต้องเผชิญหน้ากับอะไร ผมจะเจอเขาที่เป็นผมอยู่อีกไหม

คิดก็คิดไปเถอะ แล้วหากกระจกแตกกระจายต่อหน้าที่ผมยืนอยู่ในภาวะนั้นล่ะ ผมต้องใช้อะไรในการเผชิญหน้ากับมัน อย่างน้อยๆ ก็สติ การควบคุมตัวเอง หรือความหวัง? หรืออดีตประวัติศาสตร์ว่า ผมยังคงอยู่ แต่ที่แตกกระจัดกระจายซ่านกระเซ็นไปนั้น คือเงาร่างที่สร้างขึ้นมาจากตัวผม? อย่างน้อยๆ ผมคงต้องเอามือลูบใบหน้าตัวเอง สำรวจใบหน้าแห่งวันเวลาอีกครั้ง ด้วยที่แล้วมาความเร็วลวงเล่นให้โลดโผนกระโจนไปในความสะดวกสะบาย ในภาพฝันว่าตนเป็นแบบนั้น แบบนี้ แบบโน้น แบบนู้น มันฉาบฉายดึงจิตให้ไหลไปเร็วมาก กับรูปแบบอันหลากไหล ผมจะเผชิญหน้ากับตัวเองได้อย่างไรว่า ตัวผมยังเป็นของผมอีกหรือไม่ และจำเป็นไหมที่ตัวผมต้องเป็นของผม

นี่ผมถามสติน่ะ หากผมพลัดตกลงใบในวงกตแห่งกระจกแตกร้อยเป็นเยื่อร้าวต่อกันเป็นแผ่นตั้งและแผ่นนอน เหนือหัวก็มี เบื้องล่างก็มี ผมจะหวังว่าอันไหนจริง อันไหนลวง (หรือผมเป็นใครคนไหนกันแน่ ผมยังเป็นเขาหรือเขายังเป็นผม หรือผมมีเธอ มีหล่อน มีมัน มีใครอีกหลายคนในกระจกนั้น หรือว่ามีแต่ผมคนเดียว) นี่ผมกำลังจะหมายถึงการเผชิญหน้ากับกระจกที่เป็นตัวอักษรเรียงร้อยกระจัดกระจายกันเป็นหนังสืออยู่ใช่ไหม? หรือการเผชิญหน้ากับผู้คนอันมีพระเจ้าหลากหลายองค์ซึ่งใบหน้าอาจจะเหมือนกัน แต่ที่สุดแล้วเป็นองค์เดียวกัน หรือว่ามันไม่ใช่ใบหน้าที่เคยซ้ำกันเลย ทว่าไม่สามารถคาดหวังอะไรได้อีก?

การเผชิญหน้ากับการอ่านแบบนี้ มันเป็นเรื่องของรสนิยม หรือตัวใครตัวมันอย่างที่สุด แต่ในขณะเดียวกัน มันไม่สามารถเป็นทางให้เราออกจากวงล้อมของกระจกร้าวอันกระจัดกระจายได้ เพราะในรูปแบบของเราก็มีเนื้อหา และในเนื้อหาก็คงอยู่ได้ด้วยรูปแบบด้วย (เราที่ว่า ผมหมายถึงเมื่อผมรู้ว่าในโลกนี้ไม่ได้มีผมเพียงคนเดียว ผมรู้ว่ามีคนอีกหลายคนอยู่ร่วมในโลกกระจกใบนี้) ยิ่งมากวันเข้าการเดินทางของมนุษย์ยิ่งสร้างความลวงเข้าสุมทับกันเป็นปราสาทราชวัง ทำให้เราเฉื่อยชา ต่อความชั่ววูบ ความสบาย ความด่วนได้ และในที่สุดเราจะหวังอะไรได้อีก

เมื่อเราเอาแบบการอ่านตามแบบอย่างที่เคยอ่านกันมา แล้วเราจะอ่านอย่างสดใหม่ เช่นวัยละอ่อนแรกรุ่นได้อย่างไร? เราจะเรียกว่าได้ความรู้หรืออย่างไร? เมื่อมันซ้อนทับกั้นด้วยกระจกสะท้อนอยู่มากมาย แล้วเราจะอ่านด้วยตนเองได้อย่างไร แล้วเราจะเผชิญหน้ากับตัวตนได้อย่างไร เพราะตัวตนของเราถูกปะติดสร้างต่อมาจากคนหลายรุ่นหลายสมัย ดูเหมือนเราไร้เรี่ยวแรงในการอ่านอย่างอิสระเสียแล้ว และเราจะเอาพละกำลัง เอาความหวังอย่างมีอิสระภาพไปสร้างถ้อยคำและศาสนาขึ้นมาเองได้อย่างไร?

ผมหวังของผมคนเดียวว่า สติจะคืนกลับมาให้ผมเห็นกระจกและตัวผมอย่างที่มันเป็นในขณะเดียวกันอยู่เสมอ ผมอ่านหนังสืออย่างที่มันเป็นและมีผมร่วมเขียนขณะอ่านและมีผมร่วมอ่านขณะเขียน ผมจึงเขียนถ้อยคำของผมเอง แต่แฝงด้วยผู้คนและโลกที่สะท้อนอยู่ในหัวรวมอยู่ด้วย
เรื่องนี้จึงแฝงด้วยท่าทีของศรัทธาเป็นอย่างยิ่งในการจะรู้สึกได้ว่า ผมต้องสร้างกระจกของผมขึ้นมาเอง ทว่าผมจะสร้างมันขึ้นมาได้อย่างไร เมื่อผมไม่เคยรู้จักมันเลย เพราะมันคือความลวงยิ่งกว่าความลวง ลื่นไหลยิ่งเช่นความดี ความงาม ความจริง ที่เขาว่ากัน แล้วผมจะคงอยู่ได้อย่างไร?

'รัตน์ คำพร : เขียน

ไม่มีความคิดเห็น: