วันอังคาร, กรกฎาคม ๐๘, ๒๕๕๑

ในแผ่นดินพญานาคา : พญานาคเท่ากับพระเจ้า



“หากวันนี้ไม่มีพระเจ้า ก็คงถึงเวลาแล้วที่เราจะสร้างพระองค์ขึ้นมาใหม่”

วอลแตร์


ใช่แล้ว เคยมีผู้สื่อข่าวฝรั่งถามข้าพเจ้าว่า พญานาคมีจริงไหม


ข้าพเจ้าจึงถามกลับไปว่า แล้วพระเจ้าของคุณมีจริงไหม ถ้าพระเจ้าของคุณมีจริง พญานาคก็มีจริง เหตุที่ข้าพเจ้าถามกลับและตอบเช่นนี้ เพราะให้ค่าในการอธิบายเรื่องราวเหนือธรรมชาติในนามพระเจ้าและในนามพญานาคาว่าเป็นความสัมพันธ์ของมนุษย์กับสิ่งที่อยู่เหนือความเข้าใจหรือเหนือธรรมชาติการรับรู้แบบปกติของมนุษย์ว่า มันเป็นสิ่งเดียวกัน


คำถามเดียวกันนี้ หากข้าพเจ้าถามฝรั่งซึ่งไม่เชื่อในพระเจ้าล่ะ คำตอบและแง่คำการสนทนาจะแตกต่างออกไป


ไม่นานมานี้ ข้าพเจ้าได้พบปะกับเพื่อนฝรั่งคนใหม่ เขาเป็นช่างศิลป์แต้มเรือนร่างที่เรียกกันว่า แทตทู ดูภายนอกแล้วเขาเป็นพวกสักลายที่ดูน่ากลัวกระทั่งไม่น่าคบเลย เขาเองบอกข้าพเจ้าขณะกำลังนั่งออกแบบลายสักอยู่ริมระเบียงริมโขงว่า เขาไม่กล้าที่จะเดินทางไปในดินแดนแปลกถิ่นมากนัก เขากังวลต่อผู้คนที่เห็นลายสักทั่วตัวของเขา นี่เป็นครั้งที่สองที่เดินทางมาเมืองไทย หมายถึงครั้งที่สองของเมืองริมโขงแห่งนี้ด้วย สำหรับเขาแล้วลายสักเป็นงานศิลปะ


ข้าพเจ้าบอกว่า ในประเทศลุ่มน้ำโขงมีกลุ่มชาติพันธุ์ที่สักลายตามต้นขา ต้นแขนก็มี เช่น คนลื้อ คนขมุ แต่เป็นการสักในการแสดงความเชื่อ หรือความขลังของคนสัก แต่การสักของคนรุ่นใหม่เป็นแฟชั่น เขาบอกว่าในทางความเชื่อของทั้งคาทอลิกและคริสเตียนแล้ว การสักเป็นมนต์ตราของคนนอกศาสนา พอดีว่าเขาไม่มีศาสนาจึงสักได้ และในข้อเท็จจริง การสักลวดลายแบบดั้งเดิมมีมานานแล้ว ก่อนความเชื่อแบบคริสต์จะเข้ามาสู่ยุโรป เมื่อไม่นานมานี้มีการค้นพบมนุษย์โบราณอายุเกือบห้าพันปีบนยอดเขาน้ำแข็ง และที่สำคัญบนเนื้อหนังของเขามีลายสักด้วย


เขายืนยันว่า นี่คือจิตวิญญาณที่สูญหายไปหลังจากคริสต์ศาสนาเข้ามา เพราะก่อนหน้านี้ คนยุโรปเดิมก็เชื่อในจิตวิญญาณที่มีอยู่ในต้นไม้ ก้อนหิน ในป่า ในแม่น้ำ และเป็นพื้นฐานให้คนเคารพธรรมชาติและอาศัยธรรมชาติอยู่ร่วมเพื่อจะสลายไปรวมกับธรรมชาติอีกครั้ง


สำหรับเพื่อนชาวออสเตรียคนนี้แล้ว เขายืนยันว่าสสารต่างๆ ก็มีมิติของจิตวิญญาณด้วย


ข้าพเจ้าบอกว่า ความเชื่อที่คุณเล่ามา มันตรงกับความเชื่อเรื่องผีของคนในลุ่มแม่น้ำโขงเช่น ความเชื่อต่อพญานาค สะท้อนถึงการเคารพในธรรมชาติต่อแม่น้ำสายนี้ เราตั้งคำถามกันต่อว่า แล้วเหตุใด ความเชื่อแบบคริสต์จึงทำให้ความเคารพในความเชื่ออื่นๆ หายไป เขาบอกว่า คริสต์เป็นความเชื่อแบบเอกเทวนิยม จึงไม่มีพื้นที่ให้ผู้นิยมเทวาอื่นๆ หรือผีอื่นๆ แน่นอนว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก เราต้องยำเกรงพระเจ้า เราต้องรักพระเจ้า พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่ง ฉะนั้นผู้คนจึงหลงลืมและถูกกระทำให้รักพระเจ้า จนกระทั่งสรรพสิ่งอื่นๆ ไม่มีคุณค่าควรรัก เพราะมันไม่ใช่พระเจ้า นอกจากนี้เรายังแลกเปลี่ยนกันอีกว่า ทัศนะเรื่องมนุษยนิยมและแนวคิดวิทยาศาสตร์แบบกลไกในยุคใหม่ยิ่งทำให้พื้นที่วัฒนธรรมเดิมหายไปสิ้น รวมทั้งเป็นต้นธารของการทำลายโลกอย่างขนานใหญ่


พระเจ้าไม่มีความสำคัญอีกต่อไป แม้องค์เดียวกัน รากฐานเดียวกันยังทำให้คนรบรากันได้


พระเจ้าของใครก็ของมันแต่ละคนไป การตีความคัมภีร์ก็แตกแขนงเป็นหลายนิกายแยกย่อยมากมาย ถึงที่สุดหลักเหตุผลต่างๆ ในการตีความหมายต่อคัมภีร์หรือหนังสือเล่มหนึ่งก็เข้าไม่ถึงความจริง เหตุผลมากมายสุมรวมกองกันอย่างซับซ้อน


เราเห็นร่วมกันว่า ความสัมพันธ์ของคนกับโลกธรรมชาติแบบเรียบง่ายหายไป โครงสร้างการปกครองของคนกับคน ทั้งในทางการเมืองและศาสนาเป็นปัญหาร่วมสำคัญ อีกทั้งระบบทุนนิยมยิ่งผลักไสให้ไปสู่ความวิบัติ


แล้วเราจะมีทางออกใหม่? ข้าพเจ้าถามเขา


เขาบอกว่า ปฏิเสธทุกอย่างแล้วเริ่มต้นศึกษาวิเคราะห์ตนเองกับธรรมชาติรอบตัวใหม่ หรือไม่ก็กลับไปหาพญานาคของคุณ บางคนก็อาจจะกลับไปหาพระเจ้าที่ให้ค่าป่าไม้ ภูเขาหิมะและธรรมชาติอื่นๆ ของโลก พร้อมๆ กับที่ให้ค่าของคนเท่ากันด้วย เขาเองจะกลับไปศึกษาลายสักโบราณ ความเชื่อต่างๆ ก่อนคริสต์ศาสนาจะเข้ามา


เขาบอกอย่างดีใจว่า ปีก่อนนักโบราณคดีเพิ่งค้นพบพีรามิดที่บอสเนียซึ่งมีอายุมากกว่าพีรามิดในอียิปต์ มันอยู่ไม่ไกลจากบ้านของเขา บางทีเราอาจจะพบ...


ดูเหมือนวันนั้น เราสรุปได้เพียงว่า พญานาคก็เท่ากับพระเจ้า และก็ไม่ควรลืมว่า พระเจ้าไม่ควรรวมศูนย์ความเชื่อเพียงองค์เดียว พญานาคก็เช่นกัน ควรแบ่งปันความหลากหลายให้ทั่วกันในแต่ละความเชื่อ อย่างไรก็ดี ไม่ควรลืมความเป็นคนกับโลกธรรมชาติที่รู้กันอยู่ว่า ใกล้จะระเบิดด้วยความร้อนออกมาแล้วในศตวรรษที่ 21


นพรัตน์ ละมุล : เขียน

ไม่มีความคิดเห็น: